![]() |
| การมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้นจะช่วยเผาผลาญ น้ำตาลและนำไขมันที่สะสมไว้ในร่างกาย ออกไปใช้ |
กล้ามเนื้อหน้าท้อง การออกแรงและใช้พลังงงานนี้จะยังคงมีอยู่จนกว่าเราจะวางบาร์เบลลง เช่นเดียวกันกับการบีบด้ามสปริง กล้ามเนื้อแขนจะต้องออกแรงตลอดเวลาที่เราบีบด้ามสปริงคาอยู่ในจังหวะบีบ จะได้พักก็ต่อเมื่อเราคลายมือจากด้ามสปริง ดังนั้นการออกกำลังกายลักษณะนี้จึงต้องออกแรงอยู่ในท่านั้นๆนิ่งให้นานพอสมควร นานจนรู้สึกสึกว่ากล้ามเนื้อใกล้จุดล้า กล้ามเนื้อจึงจะได้ออกแรงเต็มที่
2.การให้กล้ามเนื้อได้ออกแรงไปพร้อมๆ กับการยืดหดตัว (dynamic strength training) เช่นการใช้มือสองข้างดึงสปริงยืดให้อ้าออก ในขณะที่ดึง กล้ามเนื้อแขนและหน้าอกจะมีการยืดตัวและหดตัวไปตามแขนที่เคลื่อนที่อ้าออกจากกัน ในจังหวะที่หุบแขนเข้า กล้ามเนื้อแขนก็จะได้ออกแรงต้านแรงหดตัวของสปริงในระหว่างที่แขนหุบเข้า และสิ้นสุดการออกแรงเมื่อสปริงหดตัวเต็มที่แล้ว การออกกำลังกายในแบบนี้จึงต้องเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ให้มีการออกแรงต้านแรงสปริงหรือแรงโน้มถ่วง ถ้าเคลื่อนไหวพรวดพราดตามแรงหดตัวของสปริงหรือแรงโน้มถ่วง กล้ามเนื้อจะได้ออกแรงน้อย
ผลพลอยได้จากการออกกำลังกายชนิดนี้คือมวลกล้ามเนื้อจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเซลกล้ามเนื้อเป็นกลุ่มเซลหลักที่เผาผลาญน้ำตาลให้ร่างกาย การออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจึงช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ดีมาก มีงานวิจัยจำนวนมากที่สรุปได้ผลแบบเดียวกันนี้ ตัวอย่างเช่นงานวิจัยหนึ่ง [1] ได้วิจัยโดยเอาคนสูงอายุชาวฮิสปานิกซึ่งเป็นเชื้อชาติที่ขึ้นชื่อลือชาว่ามักเป็นเบาหวานชนิดที่ดื้อต่ออินสุลินมากที่สุดมา 62 คน ทุกคนอายุเกิน 55 ปีไปแล้วและ
ผลพลอยได้จากการออกกำลังกายชนิดนี้คือมวลกล้ามเนื้อจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเซลกล้ามเนื้อเป็นกลุ่มเซลหลักที่เผาผลาญน้ำตาลให้ร่างกาย การออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจึงช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ดีมาก มีงานวิจัยจำนวนมากที่สรุปได้ผลแบบเดียวกันนี้ ตัวอย่างเช่นงานวิจัยหนึ่ง [1] ได้วิจัยโดยเอาคนสูงอายุชาวฮิสปานิกซึ่งเป็นเชื้อชาติที่ขึ้นชื่อลือชาว่ามักเป็นเบาหวานชนิดที่ดื้อต่ออินสุลินมากที่สุดมา 62 คน ทุกคนอายุเกิน 55 ปีไปแล้วและ
จึงสรุปได้ว่าการออกกำลังกายแบบเล่นกล้ามเหมาะสำหรับคนเป็นเบาหวาน แม้กระทั่งเบาหวานชนิดดื้อต่ออินสุลิน อีกหลายงานวิจัยยืนยันว่าการออกกำลังกายแบบเล่นกล้ามนี้ลดน้ำตาลในเลือดถึงขั้นใช้แทนการใช้ยาได้ หลักฐานเหล่านี้ชัดเจนจนสมาคมแพทย์เบาหวานอเมริกัน (ADA) [2] ออกคำแนะนำให้คนที่น้ำตาลในเลือดสูงระดับใกล้เป็นเบาหวานขึ้นไป ให้ออกกำลังกายจนเหนื่อยปานกลางอย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาทีขึ้นไป โดยในการออกกำลังกายนี้ให้มีการยกน้ำหนักร่วมอยู่ด้วย โดยแนะนำให้ยกน้ำหนักครั้งละ 3 ชุด ชุดละ 8-10 หน ทั้งนี้น้ำหนักที่ยกต้องมากพอที่จะทำให้แขนล้าจนยกได้ไม่เกิน 8-10 หน ถ้ายกซ้ำได้เกินนั้นแสดงว่าน้ำหนักเบาไป
การออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงนี้นอกจากช่วยป้องกันและรักษาเบาหวานแล้ว ยังมีประโยชน์ในการช่วยลดความอ้วน ป้องกันและรักษากระดูกพรุน ลดอาการข้อปวดข้อตึงจากข้ออักเสบ ป้องกันการลื่นตกหกล้มง่าย และบรรเทาอาการปวดหลังได้ด้วย เพราะมันช่วยสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหน้าท้องและแผ่นหลัง ซึ่งช่วยกระดูกสันหลังในการรับน้ำหนักต่างๆได้เป็นอย่างดี ในกรณีที่ทำร่วมกันการออกกำลังกายแบบแอโรบิก หากทำได้สม่ำเสมอก็จะช่วยให้สุขภาพจิตดี อารมณ์แจ่มใส มีความนับถือตัวเอง หายจากภาวะซึมเศร้า และนอนหลับสบายดี

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น